วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

คาร์ราเกอร์ อำลาชื่นมื่นนำหงส์แดงจิกควีนสปาร์กฯ 1-0 ปิดฉากค้าแข้ง 17 ปี


เจมี คาร์ราเกอร์ อดีตกองหลัง ลิเวอร์พูล สุดแสนเสียดายที่ชวดโอกาสยิงประตูปิดฉากการค้าแข้งกับถิ่น แอนฟิลด์ เกม พรีเมียร์ ลีก นัดสุดท้ายของฤดูกาล 2012-13 ที่เปิดบ้านเอาชนะ ควีนสปาร์ก เรนเจอร์ส 1-0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา
     
        คาร์ราเกอร์ ลงเล่นเกมที่ 737 ให้กับ ลิเวอร์พูล ต่อหน้าสาวก “เดอะ ค็อป” โดยเกือบพังประตูได้จากการยิงไกล 35 หลาด้วยเท้าขวา ทว่าชนคานอย่างน่าเสียดาย ซึ่งหลังจากแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการสิ้นสุดระยะเวลาค้าแข้ง 17 ปี อดีตกองหลังทีมชาติอังกฤษออกมาเผยว่าด้วยความเสียดาย



     
        “ผมยิงประตูได้ตอนออกสตาร์ทนัดแรก ดังนั้นคงจะเยี่ยมมากหากปิดฉากด้วยการมีชื่อบนสกอร์บอร์ด แต่ก็ไม่เกิดขึ้น เพราะแทบไม่เคยยิงได้สมบูรณ์แบบอย่างนี้ สุดท้ายแล้วเยี่ยมมากที่ลูกๆ ได้มีส่วนร่วมกับเกมสุดท้าย แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเราคว้าชัยชนะ” คาร์ราเกอร์ เผย
      

        สำหรับ คาร์ราเกอร์ ขึ้นชุดใหญ่เมื่อปี 1996 ภายใต้ยุคคุมทัพของ รอย อีแวนส์ โดยลงมาเป็นตัวสำรองของ ร็อบ โจนส์ เกม ลีก คัพ รอบเซมิ-ไฟนัล ที่พบ มิดเดิลสโบรช์ ส่วนประตูแรกที่ยิงได้นั้นเป็นการออกสตาร์ทเป็นตัวจริงที่เอาชนะ แอสตัน วิลลา 3-0

ข้อมูล:liverpool.tv

วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ร็อดเจอร์ส พอใจงานคุมหงส์ปีแรก ปรับจิตใจนักเตะฤดูกาลหน้า รุ่งแน่




เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีม "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก ออกมากล่าวเมื่อวันอังคารที่ 14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ว่า เขาเชื่อว่าฤดูกาลแรกของตัวเองในถิ่นแอนฟิลด์ จะทำให้ตนมีความมั่นคงที่ดีสำหรับการลุ้นนำต้นสังกัดติดอันดับท็อปโฟร์ในฤดู กาล 2013-14


         ลิเวอร์พูล จะลงเล่นนัดสุดท้ายของฤดูกาลนี้กับ ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส ที่แอนฟิลด์ โดยรู้ดีว่าจะได้อันดับ 7 ในพรีเมียร์ลีกแน่นอน แต่ ร็อดเจอร์ส ก็หวังที่จะนำ "หงส์แดง" กลับไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ได้อีกครั้ง และมั่นใจว่าประสบการณ์ที่ได้รับจากปีนี้จะส่งผลดีต่ออนาคต


         "ปี นี้ทำให้ผมได้เรียนรู้อย่างมากมาย และผมก็มองย้อนกลับไปและเห็นว่ามันเป็นการเรียนรู้ที่จำเป็นสำหรับผม ผมรู้ถึงความคาดหวังของสโมสร แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูกาลหน้า ผมจะเป็นผู้จัดการทีมที่มีการเตรียมพร้อมที่ดีกว่าเดิมสำหรับสิ่งนั้น"

 
         "เรา ต้องการทำให้ดีกว่านี้ในปีหน้าในเรื่องของคะแนนรวม เพราะความจริงคือเรามตามหลังจ่าฝูง 30 คะแนนและตามหลังท็อปโฟร์ 11 คะแนน แต่ผมเห็นมาพอแล้วและถ้าเราปรับปรุงเรื่องสภาพจิตใจในซัมเมอร์นี้ ด้วยการเซ็นสัญญากับนักเตะที่มีหัวใจของผู้ชนะ เราก็สามารถพัฒนาได้อีก เหมือนที่เราทำในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล"


         "นั่นคืองาน ของทีมสรรหานักเตะและสโมสรที่จะระบุตัวผู้เล่นเหล่านั้น พวกเขาอาจไม่ใช่นักเตะในระดับสุดยอดเสมอไป แต่สิ่งที่เราต้องการในปีที่ 2 ของโครงการนี้คือการหาระดับที่ยอดเยี่ยมของความคงเส้นคงวา มันเป็นขั้นตอนของการไปสู่ท็อปโฟร์และเป็นแชมป์และนั่นคือความคงเส้นคงวา"


         "สโมสร นี้ไม่ชนะเกมลีก 2 นัดติดต่อกันมากว่า 1 ปีแล้ว นั่นเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นฤดูกาลและเมื่อคุณก้าวถอยหลังและมองดูสิ่งนั้น มันไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าดีพอถ้าคุณจะประสบความสำเร็จ คุณสร้างสภาพจิตใจขึ้นในกลุ่มและคุณก็ได้นักเตะประเภทนั้นที่สามารถทำอย่าง นั้นได้ในทุกเกม ผมรักทุกนาทีที่นี่และก้าวเล็กๆ ไปยังจุดที่เราต้องการ แต่ตอนนี้ผมต้องการก้าวที่ใหญ่ขึ้น" ร็อดเจอร์ส กล่าว


ข้อมูล:internet
 

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

แฟนหงส์ระริก,แฟนผีสุดช็อค "เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน" รีไทน์ !!


 "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประกาศยืนยันเมื่อวันพุธที่ 8 พฤษภาคม ที่ผ่านมาว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยอดผู้จัดการทีมชาวสกอตแลนด์ จะวางมือจากการคุมทีมหลังจากจบฤดูกาลนี้ หลังทำงานในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด มาอย่างยาวนานถึง 27 ปี



 เกียรติประวัติตลอดการคุมทีม "ปีศาจแดง" ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

1941: Born 31 December in Govan, Glasgow.
1957: Joins Queen's Park as amateur while apprentice toolmaker in Glasgow factory.
1960: Joins St Johnstone as part-timer.
1964: Quits toolmaking to join Dunfermline.
1967: Moves to Rangers for £65,000.
1969: Moves to Falkirk, for £20,000.
1973: Joins Ayr, returning to part-time ranks while running his Glasgow pub.
1974: Appointed manager of East Stirling in September, but moves to St Mirren three months later.
1978: Sacked by St Mirren and appointed at Aberdeen as successor to Billy McNeill.
1980: First managerial honour as Aberdeen win Scottish championship.
1982: Aberdeen win the Scottish Cup, beating Rangers 4-1.
1983: Aberdeen retain Scottish Cup, beating Rangers 1-0, and defeat Real Madrid 2-1 in Gothenburg to lift European Cup Winners' Cup.
1984: Aberdeen win Scottish League and Cup double, beating Celtic 2-1 in the Cup final. Ferguson awarded OBE.
1985: Appointed caretaker manager of Scotland following death of Jock Stein during Wales v Scotland World Cup qualifier.
1986: Scotland knocked out of FIFA World Cup in Mexico after first round. Ferguson leaves Aberdeen to take over at Manchester United after sacking of Ron Atkinson.
1989: Breaks British transfer record to sign Gary Pallister for £2.3million from Middlesbrough.
1990: First trophy at Old Trafford as Man United beat Crystal Palace 1-0 in an FA Cup final replay after a 3-3 draw.
1991: United overcome Barcelona 2-1 in Rotterdam to win Cup Winners' Cup.
1992: United claim European Super Cup with defeat of Red Star Belgrade and lift League Cup with 1-0 defeat of Nottingham Forest. Title dream dies as Leeds United overhaul Man United in final weeks of campaign.
1993: Old Trafford's 26-year wait for title ends as United finish 10 points clear of Aston Villa to win inaugural Barclays Premier League title; Signs Roy Keane from Nottingham Forest for British transfer record £3.75million.
1994: United become only sixth team to complete League and FA Cup double.
1995: Breaks British transfer record again to sign Andy Cole from Newcastle United for £7million; United finish runners-up to Blackburn Rovers in the Barclays Premier League and Everton in the FA Cup.
1996: United become the first club ever to complete the League and FA Cup double twice, overcoming one-time runaway leaders Newcastle in the Barclays Premier League and beating Liverpool 1-0 at Wembley.
1997: Claims fourth championship title in five seasons.
1998: Finishes season trophyless as Arsenal win double.
1999: Leads United to the treble of UEFA Champions League, Barclays Premier League and FA Cup; Knighted in the Queen's Birthday Honours.
2000: Guides United to a sixth Barclays Premier League title, finishing the campaign 18 points clear of Arsenal.
2001: Wins seventh title in nine years.
2002: Shelves plans to retire to sign a new three-year deal as United manager; United finish outside top two in Barclays Premier League for first time.
2003: United win title again.
2004: United win FA Cup with victory over Millwall in final; Signs Everton star Wayne Rooney for a fee which could rise to £27million.
2005: United lose FA Cup final to Arsenal on penalties.
2006: Wins the League Cup for the second time thanks to a 4-0 victory over Wigan.
2007: Wins first Barclays Premier League title for four years but United are denied the double after FA Cup final loss to Chelsea.
2008: Wins Barclays Premier League title again before defeating Chelsea on penalties in the UEFA Champions League final in Moscow. United add the FIFA Club World Cup before the end of the year.
2009: Retains Barclays Premier League title having already won the League Cup against Tottenham. United lose to Barcelona 2-0 in Champions League final in Rome.
2010: Win League Cup against Aston Villa, as Carlo Ancelotti helps Chelsea reclaim the title; becomes United's longest-serving manager.
2011: Secures 12th Barclays Premier League title, and United's 19th English top-flight championship overall, breaking Liverpool's long-standing record.
May 2012: Pipped to the Barclays Premier League title on a dramatic final day, with rivals Manchester City taking top spot on goal difference thanks to Sergio Aguero's added-time winner.
September 2012: Ferguson manages his 1,000th Barclays Premer League match with United against Southampton. Two weeks later, he wins his 100th game in the Champions League beating Galatasaray at Old Trafford.
22 April 2013: United land a record 20th Barclays Premier League title with a 3-0 win over Aston Villa.
8 May 2013: United announce he will retire at the end of the season.



ข้อมูล:premierleague.com

วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

“เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี แมตช์” เจ๊าจืด หงส์เปิดบ้านเสมอทอฟฟี่ 0-0


 ฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
   ลิเวอร์พูล 0-0 เอฟเวอร์ตัน
     
       เสียงนกหวีดดังขึ้นทั้งคู่ครองบอลใกล้เคียงกัน จังหวะเซตเกมบุกยังขาดความแน่นอน ทำให้ต้องอาศัยการยิงไกล แต่ยังไม่ดีพอ จึงแทบไม่มีช็อตหวาดเสียวเกิดขึ้นเลยจนถึงนาที 17 เอฟเวอร์ตัน ได้เสียวก่อน เลห์ตัน เบนส์ เปิดฟรีคิกกราบซ้ายล้นมาเสาสอง มารูยาน เฟลไลนี ซึ่งถูก เจมี คาร์ราเกอร์ ประกบติด พยายามดีดย้อนศรเฉี่ยวเสานิดเดียว
     
       ต่างฝ่ายต่างเร่งเกมหมายเผด็จศึกคู่แข่ง รูปเกมมักดวลกันบริเวณกลางสนามเป็นส่วนใหญ่ เข้าสู่นาที 32 ลิเวอร์พูล มีลุ้น สตีเวน เจอร์ราร์ด ปั่นฟรีคิกจากหัวกะโหลก บอลโค้งหลุดเสาซ้ายมือ จากนั้นทั้งคู่เปิดหน้าแลกกัน ทว่า การผ่านบอลสุดท้ายยังไม่เข้าเป้า ครบ 45 นาทีแรก เสมอกัน 0-0
     
         ครึ่งหลังเปิดฉากเพียง 3 นาที “หงส์แดง” พลาดโอกาสทอง ฟิลิเป คูตินโญ ดีดไซด์ก้อยเจาะตรงกลางให้ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ แต่งหนีมาทางกรอบโทษด้านซ้าย ทิม ฮาเวิร์ด ออกมาขวางทัน ทำให้ยิงไม่ดีพอ ต่อมา 2 คู่ปรับย่านเมอร์ซีย์ไซด์ ดวลเกมบุกอย่างสูสี แต่นายทวารทั้งสองฝ่ายยังไม่ต้องออกแรงมากนัก
       

         เข้าสู่นาที 66 เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เสริมแนวรุกด้วยการส่ง ฟาบิโอ บอรินี ลงมาแทน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน จากนั้นรูปเกมต่างผลัดกันรุกและรับ แต่ก็ยิงทิ้งยิงขว้างกันไปหมดจนถึงนาที 74 สาวก “เดอะ ค็อป” ลุกฮือ สเตอร์ริดจ์ ได้บอลหน้ากรอบโทษด้านซ้าย แล้วไหลต่อสั้นๆ ให้ สตีเวน เจอร์ราร์ด แตะหลบ ฮาเวิร์ด แล้วยิงมุมแคบ ซิลแว็ง ดิสแต็ง ช่วยเคลียร์ออกหลัง
     
          ต่อมา นาที 80 “เดอะ เรดส์” ได้เสียว สตีเวน เจอร์ราร์ด เปิดฟรีคิกกราบขวามากลางประตู แดเนียล แอ็กเกอร์ สะบัดหลุดเสาไกล ช่วงเวลาที่เหลือทั้งคู่เร่งเกมหมายพังประตูชัย แต่ก็ไม่มีฝ่ายใดบวกสกอร์เพิ่มได้ จบเกม เสมอกัน 0-0
 
      
       รายชื่อ 11 ตัวจริง
       ลิเวอร์พูล : โฆเซ เรนา, เกล็น จอห์นสัน, โฆเซ เอ็นริเก, แดเนียล แอ็กเกอร์, เจมี คาร์ราเกอร์, สตีเวน เจอร์ราร์ด, ฟิลิปเป คูตินโญ, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, สจวร์ต ดาวนิง, ลูคัส, แดเนียล สเตอร์ริดจ์
       เอฟเวอร์ตัน : ทิม ฮาเวิร์ด, เลห์ตัน เบนส์, ฟิล จากิลกา, ซิลแว็ง ดิสแต็ง, ซีมุส โคลแมน, ดาร์รอน กิ๊บสัน, เควิน มิรัลลาส, ลีออน ออสแมน, สตีเวน ปีนาร์, มารูยาน เฟลไลนี, วิคเตอร์ อานิเชบี

ข้อมูล: manager