วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

"อดัม" ยกแคร์โรลล์ทำผลงานเหลือเชือ


ชาร์ลี อดัม กองกลาง ลิเวอร์พูล ยก แอนดี้ แคร์โรลล์ กองหน้าของทีม ทำผลงานได้เหลือเชื่อ หลังยิงประตูช่วยต้นสังกัดเอาชนะ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ชี้ประตูของแข้งทีมชาติอังกฤษเปลี่ยนรูปเกมไปสิ้นเชิง แต่ยอมรับ "หงส์แดง" ยังคงต้องปรับปรุงฟอร์มให้ดีขึ้นอีก


        ชาร์ลี อดัม มิดฟิลด์ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก ออกมากล่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม ที่ผ่านมา ว่า เขาคิดว่า แอนดี้ แคร์โรลล์ หัวหอกตัวเก่งของทีม ทำผลงานได้อย่างเหลือเชื่อในเกมลีกนัดล่าสุดที่บุกไปเอาชนะ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 2-0 ที่สนามเดอะ ฮอว์ธอร์นส์ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แต่ยอมรับว่าต้นสังกัดยังจำเป็นต้องปรับปรุงฟอร์มการเล่นให้ดีขึ้นอีก


         เกม นี้ อดัม ยิงจุดโทษให้ทีมขึ้นนำตั้งแต่ต้นเกม ก่อนที่ แคร์โรลล์ จะมาซัดประตูที่ 2 ในช่วงก่อนหมดครึ่งแรกช่วยให้ ลิเวอร์พูล เก็บ 3 คะแนนเต็มได้สำเร็จ และมิดฟิลด์ทีมชาติสกอตแลนด์ ก็ออกมากล่าวกย่องหัวหอกร่างใหญ่ที่ทำผลงานได้น่าประทับใจในแมตช์นี้


         "เขา ทำผลงานได้อย่างเหลือเชื่อในวันนี้และการยิงประตูที่ 2 ให้กับเราก็ยอดเยี่ยม เมื่อเราได้ประตูนั้นมันก็เปลี่ยนเกมไปโดยสิ้นเชิง ผมคิดว่าเราเล่นได้ดีในครึ่งแรก ส่วนครึ่งหลังเราไม่สามารถครองบอลได้อย่างที่ควรและมันคือสิ่งที่เราอาจจะ ต้องทำให้ดีขึ้น แต่การมาที่นี่และได้ 3 คะแนนทำให้เราดีใจอย่างยิ่ง"


         "เรา ผิดหวังกับผลการแข่งขันบางนัดในปีนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (กับ นอริช) เรามีโอกาสมากมายและน่าจะปิดเกมได้ แต่นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเวลาที่คุณเล่นในลีกที่ดีที่สุดในโลก ถ้าคุณไม่สามารถยิงได้คุณก็อาจถูกลงโทษ และเราก็เจออย่างนั้น เราเจอมา 2 ครั้งแล้วในปีนี้ แต่วันนี้เราเริ่มเกมได้ดีมากและสมควรชนะแล้ว" อดัม กล่าว


         ขณะ ที่ แคร์โรลล์ ก็ออกมาแสดงความดีใจที่ยิงประตูได้ และยกย่อง หลุยส์ ซัวเรซ ที่ทำให้ทีมได้จุดโทษและเปิดให้เขายิงประตูที่ 2


         "เขา มหัศจรรย์ คุณเห็นแล้ว เขาสร้างโอกาสให้กับทุกคนและทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เขาคือความมหัศจรรย์ในทีม มันเป็นเรื่องวิเศษที่ยิงประตูได้ ผมพลาดไปในบางเกม ต้องนั่งเป็นตัวสำรอง ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องวิเศษที่ได้รับโอกาสและส่งบอลเข้าตุงตาข่าย ผมรู้ว่าผมสามารถทำอะไรได้" กองหน้าทีมชาติอังกฤษ กล่าว

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

"หงส์แดง"ซัดเวสต์บรอมจอด 2-0 ขึ้นที่ 5


ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 
วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม 2554 
เวสต์บรอมวิช 0    -    2 ลิเวอร์พูล
สนาม : เดอะ ฮอว์ธอร์นส์

     อีกเกมที่เดอะ ฮอว์ธอร์นส์ รอย ฮ็อดจ์สัน กุนซือเวสต์บรอมวิชนำทีมลงบู๊กับอดีตสโมสรที่ ไม่มี สตีเว่น เจอร์ราร์ดซึ่งเจ็บข้อเท้า และ เจมี่ คาร์ราเกอร์ที่เจ็บน่อง แต่หลุยส์ ซัวเรซฟิตทันเวลาหลังมีปัญหาที่ข้อเท้านัดชนะสโต๊คในศึกคาร์ลิ่งคัพ
     ด้านเจ้าบ้านปราศจากเชน ลองกองหน้าที่เดี้ยงยาว ทำให้โซเมน ชอยได้บู๊แทน
     หงส์แดงเริ่มเกมโดยขยับบุกใส่ก่อน และมีเฮงในนาทีที่ 9 จากจังหวะที่เจอโรม โธมัสเบียดแย่งบอลในเขตโทษของตัวเองจากซัวเรซที่ล้มฟุบได้โดยผู้ตัดสินไม่ ได้ว่าอะไร แต่ไลน์แมนสะบัดธงอย่างน่าฉงน ทำให้สิงห์เชิ้ตดำเปลี่ยนใจเป่าให้ลูกโทษแก่ทีมเยือนท่ามกลางความเซ็งของ ฮ็อดจ์สัน และเป็นชาร์ลี อดัมที่สังหารไม่พลาดพาลิเวอร์พูลออกนำ 1-0
     นับจากนั้นเกมก็เนือยลงไปต่างก็ไม่มีโอกาสคลำเป้า จวบจนนาทีที่ 23 ซัวเรซก็พาบอลโต้ขึ้นทางขวาแล้วสาดยาวเข้าเสาไกลให้แอนดี้ แคร์โรลล์โขกไปโดนแขนของสตีเว่น รีด แต่ผู้ตัดสินที่วิ่งตามมาไม่เป่าให้เป็นลูกโทษ
     ผ่านมาครึ่งทาง เร้ด แมชีนเริ่มทำเกมได้เหนือกว่ามากขึ้นทุกที และถึงนาทีที่ 35 โยนาส โอลส์สันก็พุ่งเข้าอัดแคร์โรลล์ล้มน่าเกลียดแถวริมสนามจึงได้ใบเหลืองตาม ระเบียบ
     นาทีต่อมา ลิเวอร์พูลน่าจะเพิ่มสกอร์ได้จากลูกเตะมุมทางขวาที่ลอยไปเสาไกล มาร์ติน สเคอร์เทลจึงตบคืนมาหน้าประตูให้ซัวเรซจอมใช้โอกาสเปลืองซัดจากหกหลาไม่มี ใครคุมโด่งข้ามคานเหลือเชื่อ
     ท้ายครึ่งแรก เจ้าบ้านเริ่มบุกได้อย่างมีลุ้นมากขึ้น แต่หงส์แดงหาโอกาสโต้ได้ในนาทีที่ 43 โดยอดัมเปิดบอลยาวจากกราบซ้ายข้ามฟากเข้าเขตโทษให้แคร์โรลล์โขก แต่ไม่มีน้ำหนักพอที่จะผ่านมือเบน ฟอสเตอร์
     จากนั้นอีกอึดใจเดียว ซัวเรซเข้าเสียบโธมัสน่าเกลียดแถวกลางสนาม แต่ผู้ตัดสินเป่าแค่ฟาวล์โดยไม่แจกใบเหลืองกองหน้าอุรุกวัย แฟนเจ้าบ้านจึงโห่แหลก ขณะที่ฮ็อดจ์สันเข้าโวยใส่ผู้ตัดสินที่สี่
     และถึงช่วงทดเวลาเจ็บ เวสต์บรอมวิชก็เสียท่าจากการโต้เร็วของอาคันตุกะโดยซัวเรซรับลูกผ่านแล้ว จ่ายจากกราบขวาเข้ากลางให้แคร์โรลล์หลุดเดี่ยวเข้ายิงระยะ 16 หลาสวนทางฟอสเตอร์ที่พยายามออกมาบล็อคตุงตาข่าย จบครึ่งแรกทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์จึงหนีห่าง 2-0
     กลับสู่ครึ่งหลังมาได้สองนาที ดับเบิ้ลยูบีเอก็มีเสียวจากการบุกขึ้นฝั่งขวาแล้วชอยพลิกบอลหนีดาเนี่ยล แอ็กเกอร์เข้ากดที่เส้น 18 หลาถากเสาสองไปนิดเดียวเท่านั้น
     ถัดมาในนาทีที่ 58 เวสต์บรอมวิชต้องเปลี่ยนตัวสำรองเนื่องจากพอล ชาร์เนอร์มีอาการบาดเจ็บต้องออกไปเยียวยาที่ริมสนาม  และกลับมาเล่นต่อไม่ไหว ทำให้เจมส์ มอร์ริสันได้ลงบู๊แทน
     นาทีที่ 63 เดอะ แบกกี้ส์เปลี่ยนผู้เล่นอีกหลังจากเกมเป็นรองลิเวอร์พูลหลายขุมโดยส่งลงเกรแฮม ดอร์แรนส์ไปแทนยุสซุฟ มูลุมบู
     กระนั้นอีกสองนาที ทีมเยือนก็ได้เสียวอีกจากการบุกขึ้นทางซ้ายแล้วโฆเซ่ เอ็นริเก้เติมเข้าไปซัลโวในเขตโทษถูกฟอสเตอร์ปัดพ้นสามเหลี่ยมเสาไกลได้
     ล่วงมาในนาทีที่ 69 แคร์โรลล์เกี่ยวบอลเข้าเขตโทษด้านซ้ายไปกดเต็มแรงจาก 16 หลา ทำเอาฟอสเตอร์ต้องออกแรงปัดที่เสาแรกก่อนที่เวสต์บรอมวิชจะใช้งานตัวสำรอง รายสุดท้ายให้ไซม่อน ค็อกซ์ลงไปแทนชอยที่ไร้พิษสง
     เข้าสู่นาทีที่ 82 หงส์แดงใช้งานผู้เล่นสำรองบ้างโดยปล่อยเคร็ก เบลลามี่ลงไปแทนซัวเรซ และนาทีต่อมาเจ้าถิ่นได้ลูกเตะมุมด้านขวา ทว่าโอลส์สันโดดโขกสะบัดหลุดเสาไกล
     ถึงตรงนี้เวสต์บรอมวิชบุกได้ดีขึ้นเป็นลำดับ  แต่เข้าสู่ช่วงทดเวลาเจ็บก็โดนโต้จนหวิดวอดวายอีกเมื่อสจ๊วร์ต ดาวนิ่งได้โอกาสเข่นในกรอบเขตโทษด้านขวา แต่บอลชนเสาแรกอย่างน่าเสียดาย จบเกมเร้ด แมชีนจึงบุกมากำชัยไปแบบสุดสบาย 2-0 เก็บสามแต้มเต็มได้ตามเป้าหมายรวมมี 18 คะแนนพร้อมขยับขึ้นไปรั้งอันดับที่ 5 ของตารางลีกสูงสุดเมืองผู้ดีทันที
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม


     เวสต์บรอมวิช
: เบน ฟอสเตอร์, สตีเว่น รีด, โจนาส โอลส์สัน, แกเร็ธ แม็คออลี่ย์, บิลลี่ โจนส์, คริส บรันท์, พอล ชาร์เนอร์ (เจมส์ มอร์ริสัน น.58), ยุสซูฟ มูลุมบู (แกรแฮม ดอร์รานส์ น.63), เจอโรม โธมัส, ปีเตอร์ โอเด็มวิงกี้, โซเมน โชยี่ (ไซม่อน ค็อกซ์ น.71)

     สำรองไม่ได้ใช้ :
มาร์ตัน ฟูล็อป, นิคกี้ ชอร์รี่ย์, โซลตัน เกร่า, เคร์ก ดอว์สัน

     ลิเวอร์พูล :
โฆเซ่ เรน่า, เกล็น จอห์นสัน, มาร์ติน สเคอเทล, แดเนี่ยล แอ็กเกอร์, โฆเซ่ เอ็นริเก้, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ชาร์ลี อดัม, ลูคัว เลว่า, สจ๊วรต์ ดาวนิ่ง, หลุยส์ ซัวเรซ (เคร็ก เบลลามี่ น.82), แอนดี้ แคร์โรลล์

     สำรองไม่ได้ใช้ :
อเล็กซานเดอร์ โดนี่, มักซี่ โรดริเกซ, เซาบาสเตียน โกอาเตส, เดิร์ค เค้าท์, เจย์ สเพียริ่ง, จอน ฟลานาแกน

     ผู้ตัดสิน :
ลี เมสัน
สรุปผลฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
- เอฟเวอร์ตัน แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด   0 - 1
- เชลซี แพ้ อาร์เซน่อล  3 - 5
- แมนฯ ซิตี้ ชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน  3 - 1
- นอริช เสมอ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส  3 - 3
- ซันเดอร์แลนด์ เสมอ แอสตัน วิลล่า  2 - 2
- สวอนซี ชนะ โบลตัน  3 - 1
- วีแกน แพ้ ฟูแล่ม  0 - 2
- เวสต์บรอมวิช แพ้ ลิเวอร์พูล  0 - 2

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

"เฮนเดอร์สัน" จดจ่อกับเกมลีก ไม่สนเจอใครใน ศึกคาร์ลิ่ง คัพ รอบต่อไป


          จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กองกลางดาวรุ่ง "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก ออกมากล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม ที่ผ่านมา ว่า เขาต้องการจดจ่ออยู่กับการบุกไปเอาชนะ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ในเกมลีก ที่สนามเดอะ ฮอว์ธอร์นส์ ในวันเสาร์ที่ 29 ตุลาคมนี้ มากกว่าที่จะกังวลว่าต้นสังกัดจะเจอกับคู่แข่งทีมไหนในศึกคาร์ลิ่ง คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศ


         ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย คาร์ลิ่ง คัพ หลังบุกไปชนะ สโต๊ค ซิตี้ 2-1 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา และหลังจากเป็นฝ่ายออกไปเยือนตลอด 3 นัดที่ผ่านมาในรายการนี้ "หงส์แดง" หวังว่าพวกเขาจะได้เป็นเจ้าบ้านในการจับสลากประกบคู่วันเสาร์นี้ แต่ เฮนเดอร์สัน ยืนยันว่า เขาจดจ่ออยู่กับเกมพรีเมียร์ลีกนัดฟาดแข้งกับ เวสต์บรอม สุดสัปดาห์นี้มากกว่า


         "เราไม่สนว่าจะเจอกับ ใคร เราจะรอผลการจับสลากและดูว่าเจอกับใคร เราแค่ต้องการไปให้ไกลที่สุดในรายการนี้ ตอนนี้เรามีเกมสำคัญที่ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน วันเสาร์นี้ และสิ่งที่เราสนใจคือการเก็บ 3 คะแนน" ดาวเตะทีมชาติอังกฤษ กล่าว 


         ลิเวอร์พูล ชนะในบริทานเนีย สเตเดี้ยม เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี หลังจาก หลุยส์ ซัวเรซ หัวหอกทีมชาติอุรุกวัย จัดการทำ 2 ประตู


         "ผมคิดว่าเรา เริ่มต้นเกมได้ดีมากและสร้างโอกาสได้มากมาย แม้ว่าเราตามหลัง 0-1 เราก็ไม่ยอมแพ้และเราก็รู้ดีว่าเราสามารถกลับมาได้ และเราก็ดีใจมากกับชัยชนะ ประตูแรกมหัศจรรย์มากและเป็นการยิงที่ยอดเยี่ยมจาก หลุยส์ แต่เราก็เคยชินกับมันแล้ว เพราะเราเห็นอยู่ตลอดเวลา ประตูสุดท้ายเป็นการจบสกอร์ที่ยอดเยี่ยมอีกครั้งจาก หลุยส์ ผมแค่โยนบอลเข้าไปในเขตโทษและเขาก็จัดการมัน" เฮนเดอร์สัน กล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2554

"ซัวเรซ" สุดยอดเหมา 2 พาหงส์แซงเข้ารอบ 8 ทีม ศึกคาร์ลิ่ง คัพ




คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
เคนวีน โจนส์ โหม่งให้สโต๊คขึ้นนำ 1-0

คาร์โรล โดนวูดเกต กัดไม่ปล่อย

เซโก ผู้มีส่วนสำคัญทำเรือใบคว้าชัยเหนือวูลฟ์

หลุยส์ ซัวเรซ ดาวยิงทีมชาติอุรุกวัยของลิเวอร์พูล โชว์ฟอร์มฮอตกด 2 ประตู ช่วยให้ "หงส์แดง" พลิกสถานการณ์กลับมาเอาชนะ สโต๊ค ซิตี ไปได้ 2-1 ในเกมฟุตบอลคาร์ลิง คัพ รอบ 16 ทีมสุดท้าย เมื่อคืนวันพุธที่ 26 ตุลาคม ที่่ผานมา
      
       ฟุตบอลคาร์ลิง คัพ รอบ 16 ทีมสุดท้าย
       สโต๊ค ซิตี 1-2 ลิเวอร์พูล
       
       ศึกคาร์ลิง คัพ รอบ 16 ทีมสุดท้าย "ช่างปั้นหม้อ" สโต๊ค ซิตี เปิดสนามบริทแทนเนีย สเตเดียม รับการมาเยือนของลิเวอร์พูล โดยเกมนี้ เคนนี ดัลกลิช จัดทีมชุดผสม ไม่มีชื่อของ สตีเวน เจอร์ราร์ด แม้แต่ม้านั่งสำรอง แต่ส่ง แอนดี คาร์โรล ลงสนามเป็นกองหน้าคู่กับ หลุยส์ ซัวเรซ
      
       ลิเวอร์พูล เริ่มต้นได้วูบวาบแต่ยังไม่เป็นประตู ส่วนนาทีที่ 7 หงส์แดงหวิดเสียประตู จังหวะ เคนวีน โจนส์ พักบอลหน้าเขตโทษ ก่อนป้ายให้โจนาธาน วอลเตอร์ส ตวัดหน้าเขตโทษ แต่บอลเฉียดเสาบนไปอย่างหวุดหวิด ขณะที่นาที 8 คาร์โรล กระชากบอลถึงเขตโทษ ก่อนซัดติดตัวโซเรนเซน ซัวเรซ วิ่งมาซ้ำจ่อๆแต่ไม่โดนบอล พลาดโอกาสขึ้นนำ
      
       หงส์แดงบุกไม่หยุด นาที 16 ลูคัส ทำชิ่งกับซัวเรซ ก่อนที่ดาวยิงชาวอุรุกวัย จะได้สับไกเหน่งๆหน้าประตู แต่โซเรนเซน ออกมาดักไว้ได้ทัน จากนั้นนาที 17 คาร์โรล วิ่งโฉบมาโหม่งบอลจากลูกเตะมุม แต่โซเรนเซนยังเหนียว เซฟได้อีกครั้ง
      
       ลูกทีมของเคนนี ดัลกลิช บุกอยู่ฝั่งเดียว นาที 37 สเปียร์ริง จ่ายบอลออกข้างให้เคลลี เลี้ยงตัดเข้ากลางก่อนยิงด้วยขวา แต่ไปติดตัวของโซเรนเซน อย่างไรก็ตาม นาที 43 สโต็ค กลับได้ประตูนำ 1-0 ช็อต ตัน แย่งบอลจากเท้าของคัวเตส ก่อนวิ่งไปเปิดเข้ากลางให้โจนส์ โขกเหน่งๆเข้าประตูชนิดที่เรนา หมดสิทธิ์ป้องกัน และจบครึ่งแรกด้วยสกอร์ดังกล่าว
      
       ครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลแก้ปัญหาแนวรับส่ง มาร์ติน สเคอร์เทล ลงสนามแทน เจมี คาร์ราเกอร์ และในนาที 53 ซัวเรซ แตะลอดขาผ่านช็อตตัน ก่อนปั่นด้วยขวาบอลเข้าไปซุกตาข่ายอย่างสวยงาม หงส์ตีเสมอเป็น 1-1 แต่พอหลังได้ประตู เกมรุกของหงส์แดง ก็ยังเจาะแนวรับของช่างปั้นหม้อไม่ได้
      
       เกมผ่านไปจนถึง 10 นาทีสุดท้าย รูปเกมของทั้งคู่แทบไม่มีโอกาสยิงประตู "คิงเคนนี" เปลี่ยนตัวส่ง เคร็ก เบลลามี ลงสนามมาแทน มักซี โรดริเกซ ที่หาแววเด่นไม่เจอวันนี้ และลงมาก็ได้ยิงทันที จากจังหวะเล่นชิ่งกับคาร์โรลหน้าเขตโทษ แต่ไม่เข้ากรอบ
      
       และในนาที 85 เฮนเดอร์สัน เปิดบอลจากริมเส้นฝั่งขวา ก่อนที่ซัวเรซ วิ่งมาโขกเหน่งๆ ทำให้ลิเวอร์พูล ขึ้นนำเป็น 2-1 ได้สำเร็จ ร้อนถึง โทนี พูลิส นายใหญ่ของสโต๊ค ซิตี ต้องส่ง ปีเตอร์ เคราซ์ เด็กเก่าของหงส์แดง ลงมากดดันในจังหวะลูกกลางอากาศช่วงท้ายจนเกือบตีเสมอได้ แต่ทำไม่สำเร็จ จบเกม ลิเวอร์พูล บุกมาเอาชนะสโต๊ค ซิตีไปได้ 2-1 ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายได้แบบหืดจับ
      
       ส่วนผลการแข่งขันคู่ที่น่าสนใจ แมนเชสเตอร์ ซิตี บุกไปถล่ม วูลฟ์แฮมตัน ย่อยยับ 5-2 โดยได้ประตูจาก เอดิน เซโก เหมาคนเดียว 2 ลูก นาทีที่ 40,64 ซาเมียร์ นาสรี นาทีที่ 39 และ อดัม จอห์นสัน นาที 37 ส่วนอีกลูกได้จากลูกา สกาปุซซี นาทีที่ 50 ส่วน เชลซี ได้ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ กองหน้าดาวรุ่งของทีมช่วยยิงประตูในช่วงต่อเวลาพิเศษ เอาชนะ เอฟเวอร์ตันไปได้ 2-1 ผ่านเข้ารอบได้เช่นกัน
      
       รายชื่อ 11 ผู้เล่นของทั้งสองทีม
       สโต๊ค ซิตี : โธมัส โซเรนเซน,โจนาธาน วูดเกท,โรเบิร์ต ฮูธ,ไรอัน ชอว์ครอส,ไรอัน ช็อตตัน,เกล็น วีแลน,รอรี ดีแล็ป,แม็ทธิว เอเธอริงตัน,มาร์ค วิลสัน,โจนาธาน วอลเตอร์ส,เคนวิน โจนส์
       ลิเวอร์พูล : เปเป เรนา,เจมี คาร์ราเกอร์,ดาเนียล แอกเกอร์,มาร์ติน เคลลี,เซบาสเตียน คัวเตส,ลูคัส เลวา,เจย์ สเปียร์ริง,มักซี โรดริเกซ,จอร์แดน เฮนเดอร์สัน,แอนดี คาร์โรล,หลุยส์ ซัวเรซ
      
       ผลการแข่งขันฟุตบอลคาร์ลิง คัพ รอบ 16 ทีมสุดท้าย ประจำวันพุธที่ 26 ตุลาคม 2554
       สโต๊ค ซิตี 1-2 ลิเวอร์พูล
       วูลฟ์แฮมตัน 2-5 แมนเชสเตอร์ ซิตี
       แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 4-3 นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
       เอฟเวอร์ตัน 1-2 เชลซี

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ดัลกลิช มั่นใจทีมกำลังไปถูกทาง หลังทำผลงานได้ดีต่อเนื่อง

 
เคนนี่ ดัลกลิช ผู้จัดการทีม "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก ออกมากล่าวเมื่อวันอังคารที่ 25 ตุลาคม ที่ผ่านมา ว่า เขาเชื่อว่าต้นสังกัดจะกลับมาคว้าผลการแข่งขันที่ดีอีกครั้งได้อย่างแน่นอน เมื่อโชคเริ่มกลับมาเข้าข้างแล้ว หลังจากที่ล่าสุดทำได้เพียงแค่เสมอกับ นอริช ซิตี้ 1-1 ที่สนามแอนฟิลด์ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

         ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายบุกเข้าใส่อย่างหนัก แต่กลับเก็บได้เพียง 1 คะแนนเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และนับเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่พวกเขาทำได้เพียงเสมอสำหรับเกมในบ้านในฤดูกาลนี้ อย่างไรก็ตาม ดัลกลิช ยังคงมองในแง่ดีว่า "หงส์แดง" ขาดเพียงแค่โชคเท่านั้น เนื่องจากสามารถสร้างสรรค์เกมได้อย่างยอดเยี่ยมมาตลอด

         "ผมคิดว่าเราทำได้ยอดเยี่ยมในเรื่องการสร้างโอกาส มันน่าพอใจมากที่เราสร้างโอกาสได้มากมาย ดังนั้น เราจะมองในแง่ดี ส่วนเรื่องการจบสกอร์? แน่นอนว่าเราต้องทำให้ดีกว่านี้ แต่เมื่อคุณดูข้อเท็จจริงและสถิติ มันสะท้อนถึงสิ่งที่พวกเขาทำและสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้น คุณจะไม่พนันตรงข้ามกับการยิง 5 หรือ 6 ประตูในวันที่ทุกอย่างเป็นใจแน่นอน"

         "ผมแค่รอให้โชคของเราเปลี่ยนแปลง ทันทีที่โชคของเราเปลี่ยนแปลง เราจะไม่มีปัญหา นั่นคือทั้งหมด คุณไม่สามารถพูดว่าเราเล่นแย่ในเกมไหนก็ตาม ผมไม่คิดว่าจะมีใครพูดว่าเราเล่นแย่หรือเราไม่สมควรได้มากกว่านี้ในเกมหล่า นั้น ผมไม่คิดว่ามันมีเกมไหนที่เราได้รับมากกว่าที่เราสมควรได้" ดัลกลิช กล่าว

วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เจอร์ราร์ด ประกาศขอนำแชมป์มาประดับถิ่นแอนฟิลด์ให้ได้


สตีเว่น เจอร์ราร์ด กองกลางกัปตันทีม "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล สโมสรขวัญใจมหาชนแห่งศึกพรีเมียร์ลีก ออกมาเผยว่าเป้าหมายสำคัญของทีมในตอนนี้ก็คือการนำแชมป์มาประดับในถิ่นแอนฟิลด์ ให้ได้ รวมทั้งทำอันดับติด 1ใน 4 เพื่อคว้าตั๋วไปลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้า

        มิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษ มุ่งมั่นที่จะนำ "เดอะ เร้ดส์" กลับไปโชว์เพลงแข้งในฟุตบอลถ้วยใบโตยุโรปให้ได้ ขณะเดียวก็อยากที่จะนำทีมคว้าแชมป์ให้ได้ "การได้กลับมาติด 4 อันดับแรก เป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ แต่ผมคงไม่พูดว่านี่เป็นเป้าหมายแรกเท่านั้น การนำคว่ำคืนในฟุตบอลถ้วยยุโรปกลับสู่ถิ่นแอนฟิลด์ เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องการ"

        "มีค่ำคืนที่ดีที่สุดพอสมควรในอาชีพของผมเกิดขึ้นในแชมเปี้ยนส์ ลีก และผมอยากที่จะมีประสบการณ์แบบนี้อีกสักพัก่อนที่จะแขวนสตั๊ด มันเป็นเรื่องยากที่นั่งดูทีวีในช่วงคืนวันอังคาร และวันพุธ โดยที่รู้วาเราไม่ได้เข้าไปร่วมการแข่งขัน ทุกๆ คนที่นี่มุ่งมั่นที่จะกลับไปไปเล่นในฟุตบอลถ้วยยุโรปให้ได้ และอยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นให้เร็วที่สุด มันคงเป็นเรื่องที่ดีมากๆ"

        "เช่นเดียวกันผมอยากที่จะคว้าแชมป์ด้วย ผมมองถ้วยเอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ (คาร์ลิ่ง คัพ) เพราะเป็นถ้วยที่มีความสำคัญเช่นกัน เรามีลุ้นแชมป์แค่ 3 รายการเท่านั้น ซึ่งเราต้องให้ความสำคัญ"

        ครั้งสุดท้ายที่ เจอร์ราร์ด ชูถ้วยแชมป์ในประเทศอังกฤษ ก็คือเมื่อปี 2006 โดยเขายิง 2 ประตูช่วยให้ "หงส์แดง" เสมอ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 3-3 ก่อนที่จะคว้าแชมป์ด้วยการดวลจุดโทษ ในศึกเอฟเอ คัพ ที่สนามมิลเลนเนียม สเตเดี้ยม โดย "สตีวี่จี" เผยต่อไปว่า "เราทำได้ไม่ดีในการเล่นฟุตบอลถ้วยในประเทศนับตั้งแต่ปี 2006"

        "มันเป็นเวลาที่เราต้องสร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนบอลอีก ครั้ง พวกเขาสมควรได้รับสิ่งนี้ และไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้ไปเหยียบเวมบลีย์ นั่นคงเป็นเรื่องที่สุดยอดสำหรับทุกคน" เจอร์ราร์ด ระบุ โดย ลิเวอร์พูล จะบุกเยือน สโต๊ค ซิตี้ เกม คาร์ลิ่ง คัพ รอบ 4 วันพุธที่ 26 ตุลาคมนี้

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ดัลกลิช เผยเจ้าของสโมสร ให้เสริมทีมได้เต็มที่


เคนนี่ ดัลกลิช กุนซือ ลิเวอร์พูล เผยเจ้าของสโมสรพร้อมให้การสนับสนุนเต็มที่เรื่องการซื้อ-ขายนักเตะ และอาจเสริมทัพอีกครั้งในช่วงปีใหม่นี้ ชี้ยิ่งมีผู้เล่นให้เลือกมากก็ยิ่งเป็นเรื่องดีสำหรับทีม แม้อาจทำให้ตัวเองต้องปวดหัวก็ตาม


        เคนนี่ ดัลกลิช ผู้จัดการทีม "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก ออกมาเผยเมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม ที่ผ่านมา ว่า เจ้าของสโมสรชาวอเมริกันให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในเรื่องการซื้อ-ขายนัก เตะ และอาจมีการเสริมทัพอีกครั้งในช่วงเดือนมกราคมปีหน้า


         "เรา มีความสุขกับความแข็งแกร่งของทีมที่เรามี ยิ่งผมมีนักเตะให้เลือกมากขึ้น มันก็ยิ่งเป็นงานยากสำหรับผม แต่เป็นเรื่องดีสำหรับทุกคน เรามีทีมที่ลงตัวในตอนนี้ แต่ผมมั่นใจว่ามันจะไม่จบอยู่เพียงเท่านี้ ตลาดซื้อ-ขายนักเตะจะเปิดขึ้นในเดือนมกราคม และถ้าเรารู้สึกว่าเราจำเป็น ผมมั่นใจว่าเราจะได้รับการสนับสนุนเต็มที่ (จากเจ้าของ)"


         นับ ตั้งแต่ เฟนเวย์ สปอร์ตส กรุ๊ป เข้าเทคโอเวอร์ ลิเวอร์พูล พวกเขาจ่ายเงินไปแล้วเกือบ 120 ล้านปอนด์ (ประมาณ 6,000 ล้านบาท) สำหรับซื้อนักเตะเข้ามาเสริมทัพ

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554

"หงส์แดง"แผ่วนำก่อนอุดไม่อยู่เจ๊านกขมิ้น 1-1


 "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล สุดเซ็งหลัง เคร็ก เบลลามี่ ซัดประตูให้เจ้าบ้านขึ้นน้ำ "นกขมิ้นเหลือง" นอริช ซิตี้ ทีมเยือนไปก่อน 1-0 แต่กลับถูก แกรนท์ โฮลท์ โขกตีเสมอเป็น 1-1 จบเกมแบ่งกันไปทีมละแต้ม ลิเวอร์พูลรั้งที่ 5 เหมือนเดิมมี 15 แต้ม ส่วน นอริช ที่โชว์ฟอร์มได้ดีเหลือเกินขยับขึ้นที่ 7 ของตารางมี 12 คะแนน ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 22 ต.ค. ที่ผ่านมา


ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
 
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2554 
ลิเวอร์พูล 1    -    1 นอริช

สนาม : แอนฟิลด์  ผู้ชม : 44,931 คน

        ลิเวอร์พูลส่งเคร็ก เบลลามี่อดีตดาวยิงนอริชออกสตาร์ตในพรีเมียร์ลีกเป็นนัดแรกของซีซั่นแทนที่ลูคัส เลว่าที่ติดโทษแบน

        ขณะเดียวกันเกล็น จอห์นสันแบ็คขวาก็ฟิตสมบูรณ์มีชื่อลงบู๊แทนที่มาร์ติน เคลลี่เป็นการปรับโผสองรายจากแม็ตช์วันแดงเดือด

        ส่วนทีมนกขมิ้นซึ่งนัดก่อนเปิดบ้านขยี้สวอนซี 3-1 วางใจใช้บริการขุนพลชุดเดิมทุกราย

        เวอร์พูลเปิดฉากบุกใส่นอริชทันทีตั้งแต่เริ่มเกม และจากลูกเตะมุมด้านขวาในนาทีที่ 2 ที่ชาร์ลี อดัมตักไปเสาแรก มาร์ติน สเคอร์เทลก็โฉบเข้าโขกระยะหกหลา แต่บอลชนคานดังสนั่นหวั่นไหว

        ถัดมาในนาทีที่ 5 เร้ด แมชีนน่าจะได้ประตูอีกครั้งจากลูกทุ่มด้านซ้ายที่หลุยส์ ซัวเรซรับบอลแล้วโชว์ลูกเก่งพลิกแหวกหนีลีออน บาร์เน็ตต์กับไคล์ นอห์ตันเข้าเขตโทษไปซัด แต่ส่งบอลหลุดเสาแรกไปเอง

        เกมยังตกเป็นของเจ้าบ้านโดยนาทีที่ 11 เบลลามี่แผลงฤทธิ์ควบบอลหนีตัวประกบหลุดมาถึงเส้นหลังฝั่งซ้ายได้จึงจ่าย ถวายพานให้ซัวเรซแปเน้นๆจากหกหลา ทว่าจอห์น รัดดี้เซฟได้ด้วยการปัดบอลไปชนเสาไกล แล้วสจ๊วร์ต ดาวนิ่งเข้าซ้ำออกเส้นหลังไปแบบไม่มีลุ้น

        ถึงนาทีที่ 16 นกขมิ้นเกือบสอยตาข่ายได้จากโอกาสตอบโต้หนแรกเมื่อเวสลีย์ ฮูลาแฮนวิ่งไปเก็บบอลวางยาวหลุดเข้าเขตโทษด้านซ้าย แต่จังหวะสับไกยัดใส่เสาแรกถูกโฆเซ่ เรน่าที่ดักทางอยู่เซฟได้

        ทีมเยือนเริ่มเล่นกันได้อย่างอันตรายมากขึ้น  และจากลูกเตะมุมด้านซ้ายในนาทีที่ 22 ของเดวิด ฟ็อกซ์ สตีฟ มอริสันก็ได้โขกที่เสาไกล แต่เรน่ายังกระโดดคว้าได้ทัน

        เป็นอย่างนี้หงส์แดงจึงต้องปรับกลยุทธ์กันใหม่เน้นเล่นกัน ด้วยความแน่นอนเป็นหลัก กระทั่งนาที่ 34 มาร์ค เทียร์นีย์ก็โดนจดชื่อโทษฐานเสียบดาวนิ่งล้มพร้อมเสียลูกฟรีคิกหน้าเขตโทษ ด้านขวา แต่ดาวนิ่งอาสาซัดฟรีคิกติดกำแพง

        เกมกลับมาตกเป็นของเจ้าถิ่นอย่างเต็มตัวอีกรอบ และได้เสียวตามมาในนาทีที่ 40 จากลูกโยนทางขวาของดาวนิ่ง แต่ซัวเรซขึ้นโขกที่เสาไกลระยะหกหลาเบาเกินไปทำให้รัดดี้คว้าได้

        ในที่สุดช่วงทดเวลาเจ็บเดอะ ค็อปก็ได้ไชโยจากการเปิดลูกยาวขึ้นทางซ้าย และแม้ซัวเรซจะเกี่ยวบอลหลุดเท้า แต่เบลลามี่ตามมาเก็บลากเข้าเขตโทษไปซัดจาก 12 หลาแฉลบขาเทียร์นีย์เข้าตุงตาข่ายที่เสาไกล จบครึ่งแรกหงส์แดงจึงนำไปก่อน 1-0


     ริ่มครึ่งหลังนอริชจ้องเอาคืนทันที และมีลุ้นในนาทีที่ 47 เมื่อมอริสันไหลบอลจากฝั่งซ้ายให้แอนโธนี่ พิลคิงตันซัดจาก 16 หลา ดีที่ว่าเรน่าเซฟได้

     อย่างไรก็ดี นาทีที่ 51 เครื่องจักรสีแดงเกือบหนีไปอีกเม็ดจากลีลาของซัวเรซที่แปบอลลอดหว่างขาตัว ประกบพลิกเข้าเขตโทษไปจิ้มยิงด้วยหัวเกือกได้ แต่รัสเซลล์ มาร์ตินแหย่ขาสกัดทัน บอลจึงเปลี่ยนทิศพุ่งไปชนเสา
     นกขมิ้นตัดสินใจเปลี่ยนตัวสำรองในนาทีที่ 56 โดยส่งแกรนท์ โฮลท์ลงไปแทนเอลเลียต เบนเน็ตต์ และหวิดได้เฮในอีกสามนาทีต่อมาจากลูกยิงแถวหน้าเขตโทษของฟ๊อกซ์ แต่บอลเข้าอกเรน่าพอดี
     กระนั้นนาทีที่ 61 อาคันตุกะก็ทำสำเร็จหลังตัดเกมรุกของลิเวอร์พูลในแดนกลางได้แล้วลุยขึ้นทาง ขวาก่อนที่พิลคิงตันจะสาดยาวเข้าเขตโทษแล้วเรน่าทำพลาดง่ายๆถลันออกมาจากปาก ประตูโดยไม่จำเป็น เลยถูกโฮลท์ที่โดนคู่เซ็นเตอร์ฮา
ล์ฟประกบอยู่โขกฝ่าจากแปดหลาตุงตาข่ายให้นอริชตีเสมอเป็น 1-1
     เกมของทีมเยือนเริ่มน่ากลัวแล้ว และนาทีที่ 66 พิลคิงตันก็ตักบอลจากริมเขตโทษด้านซ้ายเข้าเสาไกลให้โฮลท์โขกเหน่งๆแปดหลา  แต่เรน่าแก้ตัวสำเร็จผวาปัดได้ทัน
     อย่างไรก็ดี เจ้าบ้านไม่ยอมง่ายๆ เปิดเกมสู้ยิบตาโดยนาทีต่อมาซัวเรซทะลุเข้าเขตโทษไปส่องได้อีกครั้ง แต่รัดดี้ปัดทิ้งได้สำเร็จ
     หงส์แดงเปลี่ยนตัวบ้างในนาทีที่ 69 โดยถอดเบลลามี่ออกให้จอร์แดน เฮนเดอร์สันลงสนามก่อนที่ซัวเรซจะได้สับไกอีกหนส่งบอลเข้าซองรัดดี้พอดี
     ยิ่งเล่นเกมของนอริชก็ยิ่งเหนือกว่าทำให้เจ้าถิ่นต้องเปลี่ยนดาวนิ่งออกส่งแอนดี้ แคร์โรลล์กองหน้าร่างยักษลงบู๊ในนาทีที่ 80
     ล่วงเข้าสู่ช่วงทดเวลาเจ็บ ลิเวอร์พูลเปลี่ยนเดิร์ก เคาท์ออกโดยมีดาเนี่ยล แอ็คเกอร์ลงไปแทน ขณะที่นกขมิ้นส่งแอนดรูว์ ครอฟท์สลงไปแทนพิลคิงตัน
     กระทั่งนาทีที่ 93 ซึ่งเป็นนาทีสุดท้ายของการทดเวลาเจ็บ เจ้าบ้านก็น่าจะได้ประตูชัยเมื่อ สตีเว่น เจอร์ราร์ด โยนบอลจากกราบขวาไปที่เสาสอง แคร์โรลล์ โขกย้อนศรจากหกหลาเฉี่ยวกรอบประตูไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด
     โอกาสของลิเวอร์พูลยังไม่หมดเมื่อผู้ตัดสินปล่อยให้เกมล่วงมาถึง นาทีที่ 95 แล้วเจ้าบ้านได้ฟรีคิกจากจังหวะที่ รัสเซลล์ มาร์ติน ทำฟาวล์ แคร์โรลล์ ทางริมเส้นฝั่งขวา เจอร์ราร์ด บรรจงโยนเข้าเขตโทษ ซัวเรซ ได้วอลเลย์อย่างถนัดถนี่ แต่ จอห์น รัดดี้ ยังไวพุ่งปัดได้เหลือเชื่อ จบเกมเร้ด แมชชีน เจ๊ากับ นกขมิ้นไปแบบสุดเร้าใจ 1-1 แบ่งกันไปทีมละแต้ม ลิเวอร์พูลรั้งที่ 5 เหมือนเดิมมี 15 แต้ม ส่วน นอริช ที่โชว์ฟอร์มได้ดีเหลือเกินขยับขึ้นที่ 7 ของตารางมี 12 คะแนน


รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม


     ลิเวอร์พูล : โฆเซ่ เรน่า, เกล็น จอห์นสัน, เจมี่ คาร์ราเกอร์, มาร์ติน สเคอร์เทล, โฆเซ่ เอ็นริเก้, เดิร์ค เค้าท์ (ดาเนี่ยล แอ็กเกอร์ น.90), สตีเว่น เจอร์ราร์ด, ชาร์ลี อดัม, สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง (แอนดี้ แคร์โรว์ น.80), หลุยส์ ซัวเรซ, เคร็ก เบลลามี่ (จอร์แดน เฮนเดอร์สัน น.69)

     สำรอง :
อเล็กซานเดอร์ โดนี่, มักซี่ โรดริเกซ, เจย์ สเฟียร์ลิ่ง, จอน ฟลานาแกน


     นอริช ซิตี้
: จอห์น รัดดี้, ไคล์ นอตัน, ลีออน บาร์เน็ตต์, รัสเซลล์ มาร์ติน, มาร์ก เทียร์นี่ย์, เอลเลียตต์ เบนเน็ตต์ (แกรนท์ โฮลท์ น.57), เดวิด ฟ็อกซ์, แบร็ดลี่ย์ จอห์นสัน, แอนโธนี่ย์ พิลคิงตัน (แอนดรูว์ ครอฟ์ทส น.90), เวสลี่ย์ ฮูลาฮาน, สตีฟ มอริสัน

     สำรอง
: เด็คลัน รุดด์, ซิเมออน แจ็คสัน, แอนดรูว์ เซอร์มาน, อาร่อน วิบราแฮม, ริตชี่ เดอ เลต


     ผู้ตัดสิน :
ปีเตอร์ วอลตัน


แมน ออฟ เดอะแมตช์ : จอห์น รัดดี้ (นอริช) ไม่ต้องสงสัยใดๆ ทั้งสิ้นกับดาวเด่นที่สุดของเกมนี้ ไม่เพียงแค่ซูเปอร์เซฟลูกยิงของ หลุยส์ ซัวเรซ ในช่วงทดเจ็บ แต่ตลอดช่วงเวลาปกติ อดีตนายทวารเอฟเวอร์ตันยังปัดป้องเป็นพัลวัน ช่วยทีมเซฟหนึ่งแต้มกลับบ้านอย่างยิ่งใหญ่

     เคนนี่ ดัลกลิช
นายใหญ่ลิเวอร์พูลยอมรับสภาพ เร้ด แมชีนจำต้องแบ่งแต้มให้นอริชเนื่องจากใช้โอกาสเปลือง


     แม้จะมีจังหวะพังประตูหลายหน แต่หงส์แดงก็ยิงทิ้งขว้างหรือไม่ก็ถูกนายทวารนกขมิ้นเซฟได้กระทั่งต้องแชร์แต้มให้ทีมน้องใหม่


     ด้วยเหตุนี้คิง เคนนี่จึงเอ่ยต่อสื่อหลังจบเกมว่า "หากคุณคว้าโอกาสเอาไว้ไม่ได้ คุณก็จะเปิดโอกาสให้อีกฝ่าย และพวกเขาทำได้สำเร็จ"


     "เราผิดหวังกับผลลัพธ์ แต่ผมเชื่อว่าเราเคยเล่นได้แย่กว่านี้แต่กำชัยชนะได้"


สรุปผลฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
- วูล์ฟแฮมป์ตัน เสมอ สวอนซี  2 - 2
- แอสตัน วิลล่า แพ้ เวสต์บรอมวิช  1 - 2
- โบลตัน ชนะ ซันเดอร์แลนด์  0 - 2
- นิวคาสเซิ่ล ชนะ วีแกน  1 - 0
- ลิเวอร์พูล เสมอ นอริช  1 - 1

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

"เจิด"พร้อมนำทัพรับนอริช เสาร์นี้


"หงส์แดง" ลิเวอร์พูล จะได้ สตีเว่น เจอร์ราร์ด กลับมารับบทกัปตันทีมนำทัพเต็มตัว โดยคู่หน้า หลุยส์ ซัวเรซ จะยืนคู่กับ แอนดี้ แคร์โรลล์ อีกครั้ง เกมเปิดบ้านรับการมาเยือนของ "นกขมิ้นเหลือง" นอริช ซิตี้ ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ คืนวันเสาร์ที่ 22 ต.ค. ศกนี้

ปรีวิว ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
 วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2554 
ลิเวอร์พูล   -   นอริช

สนาม : แอนฟิลด์

        เคนนี่ ดัลกลิช กุนซือ หงส์แดง ผลงานน่าพอใจ เก็บ 4 คะแนนจาก 2 เกมใหญ่ล่าสุดที่บุกชนะ เอฟเวอร์ตัน 2-0 ในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ดาร์บี้ และเปิดบ้านเสมอ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-1 ในเกมแดงเดือด

        ข่าวดีสำหรับเกมนี้คือการกลับมาของ เกล็น จอห์นสัน, ดาเนี่ยล แอ็กเกอร์ และ ฟาบิโอ ออเรลิโอ ที่ลงเล่นในเกมอุ่นเครื่องที่บุกแพ้ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส 0-1 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาได้ทั้งหมดแล้ว

        ที่ต้องปรับคือแดนกลาง ลูคัส เลว่า มิดฟิลด์บราซิล ติดโทษแบน 1 นัด อาจเป็นโอกาสของ แอนดี้ แคร์โรลล์ กองหน้าร่างใหญ่คัมแบ็กตัวจริง หรือไม่ก็ให้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน คุมกลางแทน

        ระบบการเล่น 4-4-2 โฆเซ่ เรน่า เฝ้าเสา แผงหลัง เกล็น จอห์นสัน, เจมี่ คาร์ราเกอร์, มาร์ติน สเคอร์เทล, โฆเซ่ เอ็นริเก้ แดนกลาง เดิร์ค เค้าท์, สตีเว่น เจอร์ราร์ด, ชาร์ลี อดัม, สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง คู่หน้า แอนดี้ แคร์โรลล์ กับ หลุยส์ ซัวเรซ

        ทางฝั่ง พอล แลมเบิร์ต กุนซือ นกขมิ้นเหลืองอ่อน ผลงาน 4 นัดหลังสุดน่าพอใจทีเดียว เพราะเก็บชัยชนะถึง 3 นัด โดยเกมล่าสุดคือการเปิดบ้านสอย สวอนซี ทีมน้องใหม่ด้วยกัน 3-1 แอนโธนี่ พิลคิงตัน เหมายิงสองลูก

        สภาพทีม แลมเบิร์ต ไม่มีปัญหาเพิ่ม สตีฟ มอริสัน กองหน้าที่ลงตัวจริงต่อเนื่อง พร้อมลงเป็นสิบเอ็ดคนแรกต่อ หลังตะคริวขึ้นจนถูกเปลี่ยนตัวออกในนัดที่แล้ว

        นักเตะเจ็บยังเป็นหน้าเดิมๆ เอลเลียตต์ วอร์ด, ดาเนี่ยล อยาล่า และ เจมส์ วอห์น เจ็บเข่าทั้งหมด ขณะที่ แซ็ค วิตเบรด เริ่มสภาพร่างกายดีขึ้น จากอาการบาดเจ็บเอ็นหลังหัวเข่าแล้ว

        ระบบการเล่น 4-5-1 จอห์น รัดดี้ เฝ้าเสา แนวรับ ไคล์ นอห์ตัน, รัสเซลล์ มาร์ติน, ลีออน บาร์เน็ตต์, มาร์ค เทียร์นี่ย์ แดนกลาง เอลเลียตต์ เบนเน็ตต์, เดวิด ฟ็อกซ์, แบร๊ดลี่ย์ จอห์นสัน, เวสลี่ย์ ฮูลาแฮน, แอนโธนี่ พิลคิงตัน หน้าเป้าใช้ สตีฟ มอริสัน

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

        ลิเวอร์พูล :
โฆเซ่ เรน่า - เกล็น จอห์นสัน, เจมี่ คาร์ราเกอร์, มาร์ติน สเคอร์เทล, โฆเซ่ เอ็นริเก้ - เดิร์ค เค้าท์, สตีเว่น เจอร์ราร์ด, ชาร์ลี อดัม, สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง - แอนดี้ แคร์โรลล์, หลุยส์ ซัวเรซ

        นอริช :
จอห์น รัดดี้ - ไคล์ นอห์ตัน, รัสเซลล์ มาร์ติน, ลีออน บาร์เน็ตต์, มาร์ค เทียร์นี่ย์ - เอลเลียตต์ เบนเน็ตต์, เดวิด ฟ็อกซ์, แบร๊ดลี่ย์ จอห์นสัน, เวสลี่ย์ ฮูลาแฮน, แอนโธนี่ พิลคิงตัน - สตีฟ มอริสัน

        ผู้ตัดสิน :
ปีเตอร์ วอลตัน

โปรแกรม ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
18.45 น. วูล์ฟแฮมป์ตัน - สวอนซี
21.00 น. แอสตัน วิลล่า - เวสต์บรอมวิช
21.00 น. โบลตัน - ซันเดอร์แลนด์
21.00 น. นิวคาสเซิ่ล - วีแกน
23.30 น. ลิเวอร์พูล - นอริช

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ดัลกลิช เชื่อเฮนเดอร์สัน แจ้งเกิดในถิ่นหงส์ได้แน่



        เคนนี่ ดัลกลิช กุนซือ ลิเวอร์พูล รับยังไม่แน่ใจ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน มิดฟิลด์ดาวรุ่ง ลงเล่นในตำแหน่งไหนถึงจะดีที่สุด แต่เชื่อมั่นการเลือกย้ายมาอยู่กับ "หงส์แดง" เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง บอกตอนนี้อาจต้องอดทนที่อาจยังไม่ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงบ่อยนัก แต่อีกไม่นานเมื่อทุกอย่างลงตัวแล้วจะเป็นกำลังหลักทีมแน่นอน

        เคนนี่ ดัลกลิช ผู้จัดการทีม "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ยอมรับว่ายังไม่รู้ว่าจะจับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กองกลางดาวรุ่ง ลงเล่นในตำแหน่งไหนถึงจะดีที่สุด แต่มั่นใจว่า "เร้ด แมชีน" คือสโมสรที่เหมาะกับดาวเตะรายนี้มากที่สุดแล้ว


         ดัลกลิช พูดถึง เฮนเดอร์สัน วัย 21 ปี ที่ย้ายจาก ซันเดอร์แลนด์ มาอยู่ในถิ่น แอนฟิลด์ ด้วยค่าตัว 20 ล้านปอนด์ (ราว 1 พันล้านบาท) เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาว่า "ผมยังไม่รู้ตำแหน่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา แต่ผมรู้สโมสรที่ดีที่สุดสำหรับเขา ซึ่งนั่นคือที่นี่ เราก็แค่ต้องการให้เขาเล่นและมีความสุขกับการเล่น เขาเป็นนักเตะที่มีพรสวรรค์ที่มาพร้อมกับอนาคตอันสดใสรออยู่ข้างหน้า และเราก็แค่ดีใจที่เขาเลือกมาอยู่ที่นี่"


         "เขาจะ ต้องอยู่ที่นี่ไปอีกเป็นระยะเวลานานมาก และเขาก็จะเป็นสมบัติอันล้ำค่าสำหรับเรา ส่วนตัวเขาก็จำเป็นต้องมีความอดทนด้วย เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ย้ายมาจาก ซันเดอร์แลนด์ และตอนนี้ก็เริ่มต้นปรับตัวได้ดี เขาเป็นอีกทางเลือกสำหรับเราในแผงมิดฟิลด์ช่วงสุดสัปดาห์นี้ (พบ นอริช ซิตี้ วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม) ซึ่งผมก็แค่จำเป็นต้องทำการตัดสินใจให้ถูกต้องเท่านั้น" นายใหญ่ชาวสกอตแลนด์ กล่าวในที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เจอร์อาร์ด หวั่นเจ็บซ้ำ เกรงต้องเลิกเล่นก่อนเวลาอันควร


สตีเว่น เจอร์ราร์ด กองกลางกัปตันทีม ลิเวอร์พูล รับกลัวว่าอาการเจ็บครั้งล่าสุดจะทำให้ตัวเองต้องแขวนสตั๊ด เนื่องจากต้องร้างสนามไปนานถึงครึ่งปี และนับเป็นช่วงเวลายากลำบากที่สุดในอาชีพของตัวเอง

        สตีเว่น เจอร์ราร์ด ยอดมิดฟิลด์กัปตันทีม "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก ออกมายอมรับเมื่อวันพุธที่ 19 ตุลาคม ที่ผ่านมา ว่า เขากลัวว่าอาการบาดเจ็บที่โคนขาหนีบจะทำให้ตัวเองต้องยุติอาชีพการค้าแข้งลง


         เจอร์รา ร์ด ลงเล่นเป็นตัวจริงนัดแรกในรอบ 6 เดือนในเกมแดงเดือดที่เสมอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-1 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา และล่าสุดสตาร์ทีมชาติอังกฤษ ยอมรับว่าตลอดช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาเป็นเวลาที่ยากลำบากที่สุดในอาชีพและกลัวว่าตัวเองจะไม่ สามารถกลับมาเล่นได้อีก


         "มันเป็นเรื่องธรรมดาที่คุณ เกิดความสงสัย สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นในใจคุณอยู่ตลอดเวลา ตอนที่ผมได้รับบาดเจ็บผมรู้ว่ามันจะหนักแน่ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผมคุ้นเคย ผมยอมรับว่าผมรู้สึกแย่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในฐานะนักฟุตบอล ก่อนเข้าผ่าตัดผมมีอาการบาดเจ็บรบกวนและต้องฉีดยาเพื่อลงเล่น ผมรู้ว่าผมทำไม่ถูก ผมพยายามฝืนร่างกาย แต่มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของผมและผมก็ไม่ใช่นักเตะอย่างที่ผมต้องการ ผมคิดถึงการฝึกซ้อมและการมาสโมสรในวันก่อนการแข่งขันเพื่อลงซ้อมครั้งสุด ท้าย หรือการฉีดยาเพื่อลงเล่นในวันต่อไป

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

หงส์ส่งสำรองอุ่นพ่ายเรนเจอร์ส 0-1


"หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ที่จัดผู้เล่นสำรองเกือบทั้งทีมยกทัพปราชัยให้กับ "ไลท์บลูส์" กลาสโกว์ เรนเจอร์ส เจ้าถิ่น 1-0 โดยเกมนี้ ลี แม็คคัลล็อค เป็นผู้ซัดประตูชัยให้เจ้าบ้าน ในศึกฟุตบอล กระชับมิตร สโมสร เมื่อคืนวันอังคารที่ 18 ต.ค. ที่ผ่านมา



ฟุตบอล กระชับมิตร สโมสร 
วันอังคารที่ 18 ตุลาคม 2554
กลาสโกว์ เรนเจอร์ส 1 - 0 ลิเวอร์พูล
 
สนาม: ไอบร็อกซ์ สเตเดี้ยม, กลาสโกว์

        "ไลท์บลูส์" กลาสโกว์ เรนเจอร์ส เจ้าบ้านจัดผู้เล่นชุดใหญ่ลงรับศึก โดยวาง นิกิก้า เยลาวิช กับ อเลฮานโดร เบโดย่า ยืนเป็นคู่หน้า

        ทางด้าน "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ทีมแกร่งจากพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ได้ตัว ดาเนี่ยล แอ็กเกอร์ ปราการหลังชาวเดนมาร์ก ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บกลับมาคุมแนวรับร่วมกับ เซบาสเตียน โกอาเตส เซนเตอร์ฮาล์ฟร่างโย่งทีมชาติอุรุกวัย

        ในแนวรุกให้ เคร็ก เบลลามี่ ลงมาล่าตาข่ายเคียงข้างกับ แอนดี้ แคร์โรลล์ หัวหอกร่างใหญ่

        เปิดเกมครึ่งแรกมาได้แค่ 18 นาที ฆวนม่า ออร์ติซ ปีกชาวสแปนิชของเรนเจอร์ส ได้ซัดด้วยซ้ายแต่ไม่ผ่านการป้องกันของ อเลซานเดร โดนี่ นายทวารของหงส์แดง

        นาทีต่อมา เจ้าบ้านได้ลุ้นต่อเนื่อง เมื่อ สตีเว่น วิทเธเกอร์ ลากบอลผ่าน เซบาสเตียน โกอาเตส กองหลังชาวอุรุกวัยของลิเวอร์พูล ไปแล้ว แต่จังหวะยิงโดน โดนี่ เซฟไว้ได้

        อย่างไรก็ตาม กลาสโกว์ เรนเจอร์ส เป็นฝ่ายได้ประตูขึ้นนำไปก่อนในนาทีที่ 20 จากจังหวะที่ เกล็น จอห์นสัน แบ็คของหงส์แดง ที่เพิ่งหายเจ็บกลับมา เคลียร์ลูกเตะมุมไม่ดีบอลมาเข้าทางของ ลี แม็คคัลล็อค ยิงด้วยซ้ายเสียบเสาเข้าไปให้ไลท์บลูส์ นำก่อน 1-0

        หลังจากนั้นห้านาที กลาสโกว์ เรนเจอร์ส เกือบได้ประตูที่สอง เมื่อ แม็คเคย์ ยิงเต็มๆ แต่โดน อเลซานเดร โดนี่ นายทวารหงส์เซฟไว้ได้

        ผ่านมา 35 นาที ไลท์บลูส์ ยังเหนือกว่า สตีเว่น เดวิส หลุดเข้าไปล็อบบอลข้ามตัว โดนี่ ไปแล้ว แต่ลูกข้ามคานไป หมดครึ่งแรก กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ออกนำก่อน 1-0 

        มาเล่นกันต่อในครึ่งหลัง เรนเจอร์ส เปลี่ยนผู้รักษาประตูให้ นีล อเล็กซานเดอร์ ลงมาเฝ้าเสาแทน อัลลัน แม็คเกรเกอร์ พร้อมให้ ไคล์ ลาฟเฟอร์ตี้ ลงมาเล่นหน้าแทน นิกิก้า เยลาวิช และ เปลี่ยนผู้เล่นคนอื่นๆอีกสามราย

        หงส์แดง ได้โอกาสก่อนในนาที 49 เมื่อ เคร็ก เบลลามี่ กลับตัวยิงด้วยซ้ายบอลหลุดออกข้างเสาไป

        ผ่านมาถึงนาทีที่ 56 ไคล์ ลาฟเฟอร์ตี้ หัวหอกของเจ้าบ้านยิงจ่อๆในเขตโทษ ทว่า โดนี่ นายทวารลิเวอร์พูล ปัดบอลได้ก่อนข้ามเส้น แต่ในจังหวะนี้ โดนี่ ได้รับบาดเจ็บ คาดว่าอาจจะนิ้วหัก เลยต้องเปลี่ยนเอา ฮันเซ่น ลงมาเฝ้าเสาแทน

        นาทีที่ 62 หงส์แดง ได้ลุ้นต่อเนื่อง มักซี่ โรดริเกซ ตัดบอลได้ก่อนลากจี้เข้าหากรอบประตู แต่จังหวะสุดท้ายเลือกให้บอลไปที่ แอนดี้ แคร์โรลล์ เลยโดนผู้เล่นเรนเจอร์ส เคลียร์ทิ้งออกมาได้เสียก่อน

        สามนาทีต่อมา ลิเวอร์พูล เปลี่ยนเอา เดิร์ค เค้าท์ เล่นแทน ออเรลิโอ พร้อมให้ จอห์น ฟลานาแกน เล่นแทน เกล็น จอห์นสัน รวมทั้งส่ง ชาร์ลี อดัม เล่นแทน ลูคัส เลยว่า แล้วยังให้ สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง ลงสนามแล้วถอด เบลลามี่ ออกมาพัก

        กระเถิบมาถึงนาทีที่ 68 เรนเจอร์ส น่าได้เพิ่ม ไคล์ ลาฟเฟอร์ตี้ ชิปบอลไปชนคานกระดอนออกมาอย่างน่าเสียดาย

        มาถึงนาทีที่ 78 ลิเวอร์พูล เปลี่ยนเอา ดาเนี่ยล แอ็กเกอร์ ออกแล้วส่ง มาร์ติน สเคอร์เทล ลงเล่นแทน ทำให้ปลอกแขนกัปตันทีมเปลี่ยนจาก แอ็กเกอร์ มาอยู่กับ เดิร์ค เค้าท์ แทน

        ท้ายเกมนาทีที่ 86 ลิเวอร์พูล น่าจะได้จุดโทษจากจังหวะที่กองหลังเจ้าบ้านจ่ายบอลพลาดเลยโดน แคร์โรลล์ ตัดบอลได้แล้วลากเข้าหาเขตโทษ โดน นีล อเล็กซานเดอร์ นายทวารไลท์บลูส์ ชนล้มลง แต่ผู้ตัดสินเฉย 

        ช่วงที่เหลือทั้งสองทีมทำอะไรกันเพิ่มอีกไม่ได้ จบเกม กลาสโกว์ เรนเจอร์ส เปิดรังเชือด ลิเวอร์พูล ไปหวุดหวิด 1-0

รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม

        กลาสโกว์ เรนเจอร์ส:
อัลลัน แม็คเกรเกอร์ - ลี วัลเลซ, เดวิด เวียร์ (กัปตันทีม), เคิร์ก บรอดฟุต, สตีเว่น วิทเธเกอร์ - แม็คเคย์, สตีเว่น เดวิส, ลี แม็คคัลล็อค, ฆวนม่า ออร์ติซ - นิกิก้า เยลาวิช, อเลฮานโดร เบโดย่า

        สำรอง:
นีล อเล็กซานเดอร์ (ผู้รักษาประตู) - จอห์น เฟล็ค, ไคล์ ลาฟเฟอร์ตี้, เดวิด ฮีลี่ย์, จอร์แดน แม็คมิแลน, ซาลิม แกลร์กคาร์, รอสส์ เพอร์รี่, โธมัส ไคนด์ เบนดิคเซ่น, รีส แม็คเคบ

        ลิเวอร์พูล:
อเลซานเดร โดนี่ - แดนนี่ วิลสัน, เซบาสเตียน โกอาเตส, ดาเนี่ยล แอ็กเกอร์, เกล็น จอห์นสัน - ฟาบิโอ ออเรลิโอ, ลูคัส เลยว่า, เจย์ สเปียริ่ง, มักซี่ โรดริเกซ - เคร็ก เบลลามี่, แอนดี้ แคร์โรลล์

        สำรอง:
โฆเซ่ เรน่า (ผู้รักษาประตู) - มาร์ติน ฮันเซ่น, โฆเซ่ เอ็นริเก้, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เดิร์ค เค้าท์, สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง, ชาร์ลี อดัม, จอห์น ฟลานาแกน, มาร์ติน สเคอร์เทล

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

"ป๋าบอกเอง เอวร่าเอาเรื่องถึงที่สุด"


เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เผย ปาทริซ เอวร่า ยืนยันว่าโดน หลุยส์ ซัวเรซ ดาวยิงลิเวอร์พูล พูดเหยียดผิว และต้องการเอาเรื่องให้ถึงที่สุด เชื่อ แบ๊กเลือดน้ำหอม คงแปลกใจที่โดนเรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะใน อังกฤษ หากรณีแบบนี้ได้ยาก

     เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แชมป์เก่าพรีเมียร์ลีก เผยเคลียร์กับ ปาทริซ เอวร่า แบ๊กซ้ายทีมชาติฝรั่งเศส แล้ว กรณีฟ้องว่าโดน หลุยส์ ซัวเรซ หัวหอกลิเวอร์พูล ว่าเหยียดผิว ระหว่างเกมลีกนัดแดงเดือด ที่เสมอกันไปดุเดือด 1-1 ที่สนามแอนฟิลด์ วันเสาร์ที่ผ่านมา โดย ลูกทีมคนเก่ง ยืนกรานว่า ต้องการดำเนินการเอาผิดกับ ดาวยิงอุรุกวัย ของ "หงส์แดง" ให้ถึงที่สุด  

     เอวร่า ให้สัมภาษณ์สื่อแดนน้ำหอม หลังจบเกมแดงเดือด บอกว่าถูก ซัวเรซ พูดจาเหยียดผิวระหว่างเกมดังกล่าว และเขาฟ้อง อังเดร มาริเนอร์ สิงห์เชิ้ตดำ ในเวลาต่อมา ซึ่งจากนั้น ซัวเรซ ก็ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้พูดอะไรเลวๆ แบบนั้น แต่ เฟอร์กี้ บอกว่าคุยกับ เอวร่า แล้ว และได้ความว่า เอวร่า จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

      "ผมคุยกับ ปาทริซ แล้ว เขายืนยันว่าต้องการดำเนินการเรื่องนี้ต่อไป เรื่องแบบนี้มันไม่ค่อยมีใน อังกฤษ เท่าไหร่นัก มันมีตัวอย่างให้เห็นแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นตลอดหลายปีมานี้"

     "ตั้งแต่ ผมอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พวกเรามีนักเตะผิวสีเก่งๆ หลายคน ผมว่ามันคงไม่เป็นประเด็นอะไร มันเป็นเพียงแค่กรณีตัวอย่างน้อยนิดเท่านั้น บางทีนี่แหละที่ทำให้ ปาทริซ เอวร่า แปลกใจ เขาคิดว่าตัวเองโดนเหยียดเมื่อวันเสาร์ นี่มันไม่เกี่ยวอะไรกับ ลิเวอร์พูล มันไม่ใช่ว่าเราต่อต้าน ลิเวอร์พูล แต่แน่นอนว่า ปาทริซ เศร้าใจกับสิ่งที่เขาโดนพูดใส่ ตอนนี้เรื่องอยู่ในมือของ เอฟเอ แล้ว" เฟอร์กี้ กล่าว

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

"ซัวเรซ" ยืนยันตนเองไม่เคยเหยียดผิว


หลุยส์ ซัวเรซ กองหน้าตัวเก่ง ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ยืนยันว่า ตนไม่ได้เหยียดผิว ปาทริซ เอวร่า แบ็กซ้ายชาวฝรั่งเศสของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตามที่ถูกเจ้าตัวกล่าวหา หลังจบเกมลีกนัด "แดงเดือด" ที่เสมอกัน 1-1 ณ สังเวียนแข้ง แอนฟิลด์ เมื่อวันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม ที่ผ่านมา

        ซัวเรซ กล่าวผ่านข้อความที่เขียนใน "เฟซบุ๊ค" ของตนเองว่า "ผมหงุดหงิดมากๆ กับการที่ถูกกล่าวหาว่า เป็นพวกเหยียดผิว ผมพูดได้เพียงว่า ตัวผมให้เกียรติ และเคารพทุกๆ คนอยู่แล้ว เพราะเราทุกคนต่างก็เหมือนกันทั้งนั้น ผมลงไปเล่นในสนาม ด้วยความคิดที่ว่า ตนเองเป็นเพียงเด็กน้อยที่ต้องการสนุกสนานกับสิ่งที่ตัวเองทำ ไม่ใช่ต้องการสร้างความขัดแย้ง"

        ทั้งนี้ อังเดร มาริเนอร์ เชิ้ตดำประจำเกม ได้เข้าไปคุยกับทั้งสองคน หลังจากทั้งคู่เข้าปะทะกันที่มุมธงในช่วงครึ่งหลัง ก่อนที่ เอวร่า จะมาโดนใบเหลืองในอีก 2 นาทีหลังจากนั้น เพราะไปเถียงกับผู้ตัดสินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกัปตันทีม "ปีศาจแดง" ในนัดนี้ กล่าวหาแข้งทีมชาติอุรุกวัย ว่าตามเหยียดผิวตนหลายครั้งเลยทีเดียว

        จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ มาริเนอร์ บันทึกคำกล่าวหาจากปากของกองหลังวัย 30 ปี ลงในรายงานเกมการแข่งขัน พร้อมส่งให้สมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) ในเวลาต่อมา จนสมาคมลูกหนังเมืองผู้ดี ตัดสินใจลงสืบเรื่องดังกล่าวในที่สุด

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ชิชาช่วยผีรอด แบ่งแต้มหงส์แดงสุดมัน


"ปีศาจแดง" แมนฯ ยูไนเต็ด รอดตายหวุดหวิดรูปเกมเป็นรองแต่ยังไล่ตามตีเสมอ"หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ได้แบบหืดจับ 1-1 เก็บแต้มกลับบ้านแบบใจหายใจคว่ำ

ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
 
ลิเวอร์พูล 1:1 แมนฯ ยูไนเต็ด

"หงส์แดง" ลิเวอร์พูล เปิดรังแอนฟิลด์ทำศึกแดงเดือดเกมลีกหนที่ 157 พบ "ปีศาจแดง" แมนฯ ยูไนเต็ด โดยเจ้าถิ่นส่งสตีเว่น เจอร์ราร์ด สวมปลอกแขนกัปตันนำทีม ขณะที่ทีมเยือนดร็อบเวย์น รูนี่ย์ ที่เพิ่งโดนใบแดงจากทีมชาติและนานี่เป็นเพียงตัวสำรอง

ครึ่งแรกนาที 15 เป็นโอกาสของทีมเยือนเมื่อแอชลี่ย์ ยังได้บอลหน้ากรอบโทษแล้วแทงขึ้นหน้าให้ ปาทริซ เอวร่า หลุดเข้าไปเปิดจากเกือบสุดเส้นหลังไปเสาสอง ฟิล โจนส์ ดอดขึ้นไปโขกเหน่งๆแต่ไม่ตรงกรอบบอลหลุดเสาแรกออกหลังไป

นาที 21 หงส์แดงได้ลุ้นจากจังหวะเตะมุมสั้นอดัม ไหลให้เจอร์ราร์ด เปิดด้วยขวาเข้าไปหน้าประตู หลุยส์ ซัวเรซ ทรอดเข้าไปโหม่งแต่โดนปาทริซ เอวร่า ตามเบียดเลยโหม่งไม่โดรบอลหลุดเสาไกลออกหลังไป

นาที 34 เจ้าถิ่นได้ลุ้นเมื่อชาร์ลี อดัม พาบอลขึ้นไปซัดด้วยซ้ายจากหน้ากรอบบอลไปติดขาจอนนี่ อีแวนส์ กระดอนไปเข้าทางหลุยส์ ซัวเรซ รับส้มแล้วล็อกหลบอีแวนส์ก่อนซัดด้วยซ้ายแต่ดาบิด เด เคอา ออกมาปิดมุมดีทุบบอลออกไปได้

นาที 41 พาร์ค ชี ซอง กองกลางทีมเยือนไปเสียบแย่งบอลมาได้จากขาโฆเซ่ เอ็นริเก้ ตรงกลางสนามแล้วลากจี้เข้าไปถึงกรอบโทษก่อนตัดสินใจซัดด้วยซ้ายบอลปลิ้นออก เสาไกลไป

นาที 43 หงส์แดงได้ฟรีคิกแถวริมเส้นฝั่งขวาเกือบถึงกรอบโทษชาร์ลี อดัม กึ่งยิงกึ่งผ่านเข้าไปแต่ดาบิด เด เคอา ยังไม่พลาดทุบออกไปได้ทำให้หมดครึ่งแรกยังเสมอ 0-0

ครึ่งหลังเริ่ม เพียง 2 นาทีผีแดงได้ฟรีคิกหน้ากรอบกลางประตูราว 25 หลา แอชลี่ย์ ยัง รับหน้าที่สังหารซัดด้วยขวาบอลข้ามกำแพงมุดไปเสาซ้ายมือโฆเซ่ เรน่า ตะปบไม่อยู่แต่แดนนี่ เวลเบ็ค ก็ถลำขึ้นหน้าเลยบอลไปทำให้เรน่าตามไปเก็บบอลได้แบบสบายๆ

นาที 55 เป็นโอกาสของหงส์แดงเมื่อหลุยส์ ซัวเรซ ได้ซัดด้วยขวาจากหน้ากรอบแต่บอลเบาและไม่ไกลตัวดาบิด เด เคอา ล้มตัวรับติดมือหนึบ

นาที 67 หงส์แดงได้ฟรีคิกตรงหัวกะโหลกกรอบโทษเยื้องทางขวาสตีเว่น เจอร์ราร์ด ซัดด้วยขวาบอลทะลุกำแพงเสียบเสาแรกตุงตาข่ายชนิดที่ดาบิด เด เคอา ได้แต่ยืนใช้สายตาป้องกันลิเวอร์พูลออกนำ 1-0

พอเสียประตูแมนฯ ยูไนเต็ดเปลี่ยนตัวทีเดียว 2 คนรวดส่งเวย์น รูนี่ย์ และ นานี่ ลงมาแทน พาร์ค ชี ซอง กับ แอชลี่ย์ ยังแต่รูปเกมยังไม่ดีขึ้นจากนั้นก็ส่งฮาเวียร์ เอร์นานเดซ ลงมาแทน ฟิล โจนส์ อีกคน

นาที 81 ผีแดงตามตีเสมอ 1-1 จากจังหวะเตะมุมนานี่เปิดเข้าไปหน้าประตูแดนนี่ เวลเบ็ค โหม่งวืดบอลกระเด้งไปกลางประตูฮาเวียร์ เอร์นานเดซ วิ่งเข้าโขกเหน่งๆตุงตาข่าย

นาทีต่อมาหงส์แดงน่านำอีกหนเมื่อสจ๊วร์ต ดาวนิ่ง เปิดจากฝั่งซ้ายไปหน้าประตูเดิร์ค เค้าท์ เหยียดขาแปดดวยขวาแต่ดาบิด เด เคอา ซูเปอร์เซฟพุ่งปัดได้หวุดหวิด

ช่วง ทดเจ็บนาทีแรกหงส์แดงได้ลุ้นเมื่อ หลุยส์ ซัวเรซ แตะบอลให้จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เหลือบเห็นดาบิด เด เคอา ออกมานอกเส้นเลยกระดกจะให้เข้าเสาไกลแต่เด เคอายังถอยไปปัดออกหลังได้ปลายมือ

นาทีต่อมาเจ้าถิ่นได้ลุ้นอีกเมื่อ โฆเซ่ เอ็นริเก้ เปิดจากฝั่งซ้ายไปหน้าประตูจอร์แดน เฮนเดอร์สัน สอดเข้าไปโขกเหน่งๆบอลพุ่งถากคานตกบนหลังคาตาข่ายอย่างน่าเสียดายทำให้จบเกม เสมอกันไป 1-1 แบ่งกันไปทีมละแต้ม

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
ลิเวอร์พูล :
โฆ เซ่ เรน่า,มาร์ติน เคลลี่,มาร์ติน สเคอร์เทล,เจมี่ คาร์ราเกอร์,โฆเซ่ เอ็นริเก้,ลูคัส เลว่า,ชาร์ลี อดัม,สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง,สตีเว่น เจอร์ราร์ด,เดิร์ค เค้าท์,หลุยส์ ซัวเรซ

แมนฯ ยูไนเต็ด : ดา บิด เด เคอา,คริส สมอลลิ่ง,ริโอ เฟอร์ดินานด์,จอนนี่ อีแวนส์,ปาทริซ เอวร่า,ฟิล โจนส์,ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์,พาร์ค ชี ซอง,แอชลี่ย์ ยัง,ไรอัน กิ๊กส์,แดนนี่ เวลเบ็ค

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ศึกแดงเดือด เย็นนี้วัดกันที่ความคม, แฟนหงส์ลุ้นเจิดลง


"ศึกแห่งศักดิ์ศรี ศึกวันแดงเดือด" ยกที่ 1 เป็น "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ที่จะเปิดแอนฟิลด์รับการมาเยือนของคู่รักอริแค้นตลอดกาล "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เจ้าบ้านจัด หลุยส์ ซัวเรซ กับ แอนดี้ แคร์โรลล์ ยืนหอกคู่เตรียมกระพือปีกหวังผนึกคมแข้งระเบิดฝาโลงผี ขณะเดียวอสูรแดงเตรียมส่ง เวย์น รูนี่ย์ กับ ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ "ชิชาริโต้" ลงคู่หน้าซาตานลุ้นบุกหลอนโหดล้างอายเกมเยือน พร้อมสาดเสียงเชียร์ให้กู่ก้องพร้อมกันทั่วทุกมุมโลกในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม เวลา 18.45 น. ศกนี้



ปรีวิว ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ 
วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม 2554
 ลิเวอร์พูล   -   แมนฯ ยูไนเต็ด

สนาม : แอนฟิลด์

        เคนนี่ ดัลกลิช กุนซือ หงส์แดง ต้องคุมทีมเล่นเกมใหญ่ต่อเนื่อง หลังจากสองสัปดาห์ก่อนเพิ่งบุกชนะ เอฟเวอร์ตัน 2-0 ในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ดาร์บี้ ที่ได้ประตูจาก แอนดี้ แคร์โรลล์ กับ หลุยส์ ซัวเรซ

        สำหรับเกมวันเสาร์นี้มีโอกาสที่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีมจะกลับมาเป็นตัวจริง หลังลงสำรองมาแล้ว 3 นัด นับตั้งแต่ผ่าตัดโคนขาหนีบ พักยาวมาตั้งแต่เดือนมีนาคม

        แผงหลัง เกล็น จอห์นสัน แบ็กขวา หายเจ็บเอ็นหลังหัวเข่ากลับมาแล้ว ขณะที่ ดาเนี่ยล แอ็กเกอร์ เซนเตอร์ที่เจ็บซี่โครงหัก กำลังเรียกความฟิตเช่นเดียวกับ ฟาบิโอ ออเรลิโอ แบ็กซ้าย

        สิบเอ็ดคนแรกใช้งาน โฆเซ่ เรน่า เฝ้าเสา แผงหลัง เกล็น จอห์นสัน, เจมี่ คาร์ราเกอร์, มาร์ติน สเคอร์เทล, โฆเซ่ เอ็นริเก้ แดนกลาง เดิร์ค เค้าท์, ลูคัส เลว่า, สตีเว่น เจอร์ราร์ด, สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง คู่หน้า หลุยส์ ซัวเรซ กับ แอนดี้ แคร์โรลล์

        ทางฝั่ง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือ ปีศาจแดง ฟอร์มพักหลังเริ่มแผ่วลงไปเยอะ นับตั้งแต่สะดุดเสมอ สโต๊ค 1-1 ต่อด้วยเสมอ บาเซิ่ล 3-3 ในเกมยุโรป และสองสัปดาห์ที่แล้ว ชนะ นอริช 2-0

        เฟอร์กี้ ต้องตัดสินใจว่าจะส่ง เนมานย่า วิดิช ปราการหลังกัปตันทีมกลับมาเป็นตัวจริงเลยหรือไม่ หลังจากพักยาวตั้งแต่นัดเปิดฤดูกาลเพราะเจ็บน่อง และเพิ่งกลับมาเล่นนัดแรกในการรับใช้ทีมชาติเซอร์เบียเมื่อวันอังคาร

        ทำให้นักเตะเจ็บเวลานี้เหลือแค่ ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์ เจ็บเท้าอยู่ในช่วงเรียกความฟิต และ ราฟาเอล ดา ซิลวา ไหล่หลุดยังพักรักษาตัวอยู่

        คาดว่า เฟอร์กี้ น่าจะปรับทีมอย่างน้อย 4 ตำแหน่งจากเกมล่าสุด เริ่มจากผู้รักษาประตู ดาบิด เด เคอา จะกลับมาเฝ้าเสา แผงหลัง ฟิล โจนส์, ริโอ เฟอร์ดินานด์, เนมานย่า วิดิช, ปาทริซ เอวร่า

        แดนกลางจะมี แอชลี่ย์ ยัง กลับมาประจำการทางกราบซ้ายอีกครั้ง ส่วนทางขวาเป็น นานี่ และคู่กลาง ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ กับ อันแดร์สัน คู่หัวหอก เวย์น รูนี่ย์ กับ ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ "ชิชาริโต้"

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

        ลิเวอร์พูล : โฆเซ่ เรน่า - เกล็น จอห์นสัน, เจมี่ คาร์ราเกอร์, มาร์ติน สเคอร์เทล, โฆเซ่ เอ็นริเก้ - เดิร์ค เค้าท์, ลูคัส เลว่า, สตีเว่น เจอร์ราร์ด, สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง - หลุยส์ ซัวเรซ, แอนดี้ แคร์โรลล์

        แมนฯ ยูไนเต็ด : ดาบิด เด เคอา - ฟิล โจนส์, ริโอ เฟอร์ดินานด์, เนมานย่า วิดิช, ปาทริซ เอวร่า - นานี่, ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์, อันแดร์สัน, แอชลี่ย์ ยัง - เวย์น รูนี่ย์, ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ

        ผู้ตัดสิน : อันเดร มาร์ริเนอร์



หงส์ยิ้ม! เฝ้าบ้านอัดผีสามซีซั่นติด

        เป็นเวลาสามฤดูกาลติดต่อกันแล้ว ที่ ลิเวอร์พูล เปิดรัง แอนฟิลด์ เก็บสามแต้มจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา

        เกมแดงเดือดไม่จบด้วยผลเสมอมา 13 นัดติดแล้วรวมทุกรายการ นับตั้งแต่เกมพรีเมียร์ลีกที่ แอนฟิลด์ ที่จบ 0-0 ฤดูกาล 2005-06 โดย ปีศาจแดง เป็นฝ่ายชนะไป 8 และ หงส์แดง เก็บชัยไป 5 นัด อย่างไรก็ตาม 3 ใน 5 เป็นเกมพรีเมียร์ลีกที่ แอนฟิลด์ 3 ซีซั่นหลังสุดด้วย

        ฤดูกาลที่แล้ว เกมพรีเมียร์ลีกของทั้งคู่ยิงสลุตทั้งสองนัด เริ่มจากที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ซัลโวแฮตทริกในชัยชนะ 3-2 และอีกนัดที่ แอนฟิลด์ เดิร์ค เค้าท์ กดแฮตทริกคืนในชัยชนะ 3-1

โปรแกรมฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
18.45 น. ลิเวอร์พูล - แมนฯ ยูไนเต็ด
21.00 น. แมนฯ ซิตี้ - แอสตัน วิลล่า
21.00 น. นอริช - สวอนซี
21.00 น. ควีนส์ปาร์ค - แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส
21.00 น. สโต๊ค - ฟูแล่ม
21.00 น. วีแกน - โบลตัน
23.30 น. เชลซี - เอฟเวอร์ตัน

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

"เคลลี่" หนุน "คาร์ราเกอร์" อนาคตนั่งกุนซือหงส์ได้แน่นอน

 
มาร์ติน เคลลี่ แบ็กขวาดาวโรจน์ "หงส์แดง" ชูสองมือหนุนลูกพี่ใหญ่ เจมี่ คาร์ราเกอร์ แบบเต็มเหนี่ยว เชื่อมีคุณสมบัติครบถ้วนทุกประการสำหรับการเป็นกุนซือคนต่อไปของ ลิเวอร์พูล เหตุมุ่งมั่นทุกนาทีในสนาม แถมคอยปลุกใจเพื่อนร่วมทีมได้เป็นอย่างดี


        มาร์ติน เคลลี่
กองหลัง ลิเวอร์พูล ออกโรงสนับสนุน เจมี่ คาร์ราเกอร์ รองกัปตันทีม "หงส์แดง" ให้ก้าวเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมคนต่อไปในถิ่น แอนฟิลด์ หลังจากที่เซนเตอร์แบ็กรุ่นพี่วัย 33 ปี ซึ่งอยู่โยงรับใช้ต้นสังกัดมาอย่างยาวนานกว่า 21 ปี โดยเลื่อนขั้นจากระดับเยาวชน (1990-1996) ขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ตั้งแต่ปี 1996 ยอมรับ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ตนอาจจะแขวนสตั๊ดอำลาสังเวียนแข้งอาชีพหลังสิ้นสุดฤดูกาลหน้าก็เป็นได้

        แบ็กขวาดาวรุ่งวัย 21 ปี กล่าวว่า "หนทางยังอยู่อีกยาวไกล แต่ เจมี่ ก็มีคุณสมบัติทุกประการสำหรับการเป็นผู้จัดการทีมของเรา เขาคอยกระตุ้นให้นักเตะของเราทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด และไม่เคยพอใจกับการที่ต้องเป็นที่สองรองใครมาตลอด ผมตั้งตารอเสมอที่จะได้เห็นนักเตะคนสำคัญของสโมสรก้าวเข้ามาสู่ตำแหน่งผู้ จัดการทีมในอนาคต"

        สำหรับ คาร์ราเกอร์ นั้น ลงเตะในศึกพรีเมียร์ลีก ให้กับ ลิเวอร์พูล ไปแล้วถึง 470 นัด นับตั้งแต่ประเดิมเกมแรกในฐานะนักเตะอาชีพเมื่อปี 1996 โดยเมื่อถูกถามถึงอนาคตของตัวเองเมื่อสัปดาห์ก่อน "คาร์ร่า" ตอบว่า "เวลา
(ใน การแขวนสตั๊ด) คงจะมาถึงในอีก 12,18 เดือน หรืออาจจะเป็นอีก 2 ปีข้างหน้า ผมได้เริ่มก้าวแรกของการเป็นโค้ช และได้ใบอนุญาตระดับ บี มาแล้ว เราทุกคนล้วนแล้วแต่หลงใหลในเกมการแข่งขัน และอยากจะมีส่วนร่วมกับเกมลูกหนังต่อไปอีกนานๆ กันอยู่แล้ว"